หน้าเป็นฝ้า นั้นมีสาเหตุ อยู่ด้วยกันหลายอย่าง
หน้าเป็นฝ้า กระ นั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกคน โดยผู้ที่มีผิวขาวนั้นจะเกิดฝ้า กระได้ง่ายกว่าผู้ที่มีสีผิวเข้ม ถึงแม้ว่าการเกิดฝ้า กระนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดความเจ็บปวดต่อร่างกายแต่อย่างใด แต่ก็เป็นปัญหาผิวที่กวนใจเนื่องจากทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอไม่เรียบเนียนเกิดความไม่มั่นใจ การรักษาจึงต้องดูที่ความปลอดภัยเป็นหลัก และอาจจะใช้ระยะเวลาสักหน่อย ฝ้า กระยังสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้หากขาดการดูแลผิวที่ดีเพียงพอ
ลักษณะของหน้าเป็นฝ้า กระ จุดด่าง
กระ เป็นจุดเล็กๆ มีสีเข้มกว่าสีผิวปกติ อาจเป็นสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม ขึ้นกระจายบนใบหน้า กระ จะขึ้นได้ตั้งแต่ชั้นผิวหนังธรรมดาไปจนถึงชั้นผิวหนังชั้นลึกมีสีที่เข้มและนูนขึ้นจากผิวหนังมาก ขนาดขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆอาจทำให้เกิดอันตรายตามมาได้ ควรไปปรึกษาแพทย์โดยด่วนที่สุด
ฝ้า จะเป็นปื้นใหญ่ๆ มีสีที่เข้มกว่าสีผิวปกติของเรา ฝ้าถูกแบ่งเป็นสองชนิดคือ ชนิดตื้นจะอยู่ตรงชั้นหนังกำพร้า เม็ดสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงเทาดำ และฝ้าชนิดลึก เม็ดสีที่เปลี่ยนจะอยู่ถึงชั้นหนังแท้ มีสีน้ำตาลอ่อน สีเทา หรือเทาอมฟ้า
การป้องกันไม่ให้เกิดฝ้า กระ
1.ทาครีมกันแดดเป็นประจำก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง เพราะแสงแดดเป็นตัวการที่ทำเกิดฝ่า กระได้
2.เมื่ออยู่กลางแจ้งให้ทาครีมกันแดดเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ โดยเลือกค่า spf ที่สูงๆประมาณ 50 ขึ้นไป ควรจะพกร่มหรือใส่หมวกปีกกว้างไว้ด้วย
3.ถ้าหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ควรหลีกเลี่ยง ช่วงที่แสงแดดแรงที่สุดจะอยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่ 11-14 นาฬิกา
4.หลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่มีผลกับฮอ์โมน เพราะสามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ เช่น ยาคุมกำเนิด
5.หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่ทำให้ผิวหนังระคายเคือง ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้เครื่องสำอาง
หากเป็นฝ้า กระ จะรักษาอย่างไร
เมื่อผิวหน้าสวยๆของคุณเริ่มมีฝ้ามาเยือน อย่าเพิ่งใจร้อนรีบซื้อคอร์สรักษาฝ้าแพงๆหรือซื้อครีมรักษาฝ้าที่มีขายอยู่ในท้องตลาดมาใช้ ควรเริ่มต้นรักษาฝ้าอย่างเป็นขั้นตอนด้วยวิธีการที่ถูกต้องเพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องทำร้ายผิวโดยไม่ได้ตั้งใจและรักษาฝ้าให้ได้ผลที่ที่สุดอย่างที่ต้องการ
1.พูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังก่อน เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริง ,ประเมินระดับความรุนแรงของฝ้า และแนวทางการรักษาที่เหมาะสม หากเป็นฝ้าที่ไม่ลึกมาก อาจใช้ยาทาหรือแนวทางการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ แต่หากเป็นฝ้าลึกมากอาจต้องใช้วิธีการทางการแพทย์เพื่อใช้ในการรักษาหน้าเป็นฝ้า
2.หยุดการรับประทานยาหรือเครื่องสำอางที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า เช่น ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนผสมทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนซึ่งกระตุ้นให้เกิดฝ้า ดังนั้นจึงอาจขอปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนไปใช้ยาคุมกำเนิดชนิดอื่นแทนอย่าง ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำหรือยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวแทน
3.สอบถามแพทย์ เพื่อปรึกษาเรื่องการใช้ครีมไฮโดรควิโนในการรักษาฝ้า เรารู้กันว่าไฮโดรควิโนนเข้มข้นอาจส่งผลข้างเคียงที่ไม่ดีต่อผิวแต่การใช้อย่างระมัดระวังในปริมาณพอเหมาะจะช่วยรักษาหน้าเป็นฝ้าได้ เนื่องจากไฮโดรควิโนนมีการทำงานโดยการปิดกั้นกระบวนการทางเคมีตามธรรมชาติของผิวในการสร้างเมลานิน ซึ่งหากปริมาณเมลานินลดลงฝ้าก็จะจางลงด้วย ดังนั้นหากไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ครีมไฮโดรควิโดนในการรักษา แพทย์จะสั่งไฮโดรควิโนนในความเข้มข้นไม่เกิน 4 % หากมากกว่านี้อาจทำให้ผิวถูกฟอกสีจนกลายเป็นผิวด่างได้
นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิธีการอื่นๆในการรักษาฝ้าอย่างเช่น การลอกผิวด้วยกรดผลไม้โดยอาจใช้กรดผลไม้ที่มีความเข้มข้นสูงลอกเซลล์ผิวบริเวณที่เป็นฝ้าหรือใช้วิธีกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณีซึ่งทั้งหมดนี้เป็นวิธีการรักษาฝ้าที่ได้ผลดีแต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญโดยเคร่งครัด
การรักษาหน้าเป้นฝ้าที่เห็นผลสูงสุด
1. รักษาโดยใช้ยาทา โดยยาส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วย กรดวิตามินเอ ไฮโดรควิโนน ทรานีซามิก โดยกรดเหล่านี้มีฤทธ์ทำให้ผิวขาว และลดการอักเสบ แต่ควรใช้ในปริมาณที่น้อยหรืออยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
2. การใช้สารเคมีลอกผิว เป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ที่เป็นฝ้าลึก ใช้กรดครอโรอะซิตริกจะทำโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น หลังการทำควรหลีกเลี่ยงแสงแดด
3. รักษาด้วยแสงเรเซอร์ IPL เป็นวิธีที่ทำให้ฝ้าจางลงได้อย่างรวดเร็ว และมีผลข้างเคียงน้อย ควรทำประจำทุกๆ 2 สัปดาห์ ติดต่อกัน 2-4 เดือน ขึ้นอยู่กับความลึกของฝ้า ถึงแม้จะเป็นวิธีรักษาหน้าเป็นฝ้าที่เห็นผลรวดเร็วแต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และฝ้าอาจจะกลับมาได้อีกขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของเราด้วย
4. การรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของ วิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้า กระ ลุกลาม และยังช่วยให้ผิวเรียบเนียน แข็งแรง ควรเลือกยี่ห้อที่น่าเชื่อถือ อ่านฉลากก่อนใช้ยาและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
5. ใช้สมุนไพร อย่างเช่น ว่านหางจระเข้ ปอกเปลือกล้างออกให้สะอาด นำไปบดหรือปั่น แล้วนำมาพอกหน้าประมาณ 15-20 นาที ทำเป็นประจำประมาณสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ฝ้าจะค่อยๆจางลงและหายไวขึ้น สูตรไข่ขาว นำไข่ขาวมาทาบางๆบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ 5-10 นาที รอยฝ้าและสิ่งสกปรกจะหมดไป
6. ใช้ครีมรักษาฝ้า เลือกครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ AHA, อาร์บูติน, วิตามินซี หรือครีมต่างๆที่มีคุณสมบัติในการรักษา ก็จะช่วยให้ฝ้าจางลงและผิวกระจ่างใสขึ้น แต่ควรเลือกครีมที่มีความน่าเชื่อถือปลอดภัย และไม่มีสารอันตราย
วิธีเลือกครีมรักษาฝ้าที่ได้ผลและปลอดภัย
1. อันดับแรกเลยต้องมีเลขจดแจ้ง อย. วัน-เดือน-ปี ที่ผลิต สถานที่ผลิตระบุอย่างชัดเจน
2. ระบุส่วนผสมในครีม
3. มีวิธีใช้ระบุอย่างชัดเจน
4. หลีกเลี่ยงครีมที่ผสมสารอันตราย
5. ทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้ วิธีทดสอบคือนำครีมที่จะใช้มาทาบริเวณผิวที่บอบบาง อย่างหลังใบหูหรือท้องแขน ทิ้งไว้สัก 30 นาที หรือข้ามคืนเลยก็ได้ ถ้ามีอาการระคายเคือง มีรอยแดง ผื่นขึ้น ให้หลีกเลี่ยงการใช้ทันที
การใช้ครีมที่ช่วยลดเลือนฝ้า กระ ก็เป็นอีกตัวเลือกที่หน้าสนใจของคนหน้าเป็นฝ้า เพราะเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และปลอดภัย วิธีการเลือกครีมรักษาฝ้า กระ ควรเลือกครีมที่ปลอดภัย ไม่มีสารพิษ มีสารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกมากมายหลายแบบ อย่างเช่น PURE FACE POWER UP SERUM ของ Jellys ที่นอกจากปรับผิวให้กระจ่างใสแล้ว ยังช่วยลดเลือน ฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอยและรอยสิว รูขุมขนกระชับ เพราะมีส่วนผสมของรกม้า ที่กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดรอยเหี่ยวย่น ทำให้ฝ้า กระ บนใบหน้าลดเลือนลงได้เมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง
และมาร์คก่อนนอน PURE CREAM ช่วยฟื้นฟูผิวขณะนอนหลับ มาร์คตัวนี้มีสารสกัดจาก กรดผลไม้ AHA ที่เป็นกรดมีอยู่ในผลไม้ทั่วไป มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวผิวหน้าจะขาวใสช่วยรักษาหน้าเป็นฝ้า จุดด่างดำดูจางลง และสารสกัดจากวิตามินซี ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดเลือนริ้วรอย เป็นผลิตภัณฑ์ที่แนะนำเลยค่ะ เพราะเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ปลอดภัย และเห็นผลแน่นอน ที่สำคัญคือการดูแลตนเองค่ะ ก่อนออกจากบ้านควรทาครีมป้องกันแสงแดดทุกครั้ง และหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจ้าเป็นเวลานานๆ เพียงเท่านี้คุณก็จะมีผิวหน้าที่เรียบเนียนกระจ่างใส ปราศจากฝ้า กระ และจุดด่าง ได้แล้วค่ะ
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ
หน้าเป็นฝ้าทำไงดี 4 เคล็ดลับรักษาฝ้าหายง่ายๆ
หน้าเป็นฝ้ามาดูกันว่าเกิดจากอะไร และจะแก้ฝ้าได้อย่างไรบ้าง
หน้าเป็นฝ้า รักษาได้ด้วยวิธีธรรมชาติง่ายๆ ได้ผลจริง
6 วิธีการรักษา หน้าเป็นฝ้า ด้วยเทคนิคทางการแพทย์