คันในช่องคลอด เกิดจากอะไร และวิธีรักษาอาการคันช่องคลอด
แนะนำวิธีรักษาอาการคันช่องคลอด แบบอยู่หมัด
ปัญหาคันในช่องคลอด หรือคันที่บริเวณปากช่องคลอด ไม่ใช่เรื่องน่าอายเพราะมันคือปัญหาใหญ่สำหรับผู้หญิง อาจทำให้ผู้หญิงหลายคนเกิดความกังวลใจเป็นอย่างมาก หรือรู้สึกหงุดหนิด ไม่เป็นอันทำอะไร รู้หรือไม่ว่าคันในช่องคลอดนั้น เกิดจากสาเหตุใด พฤติกรรมใดบ้างที่เสี่ยงจะทำให้เกิดอาการคันในช่องคลอด วันนี้เราจะพาสาวๆ มาหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน พร้อมทั้งแนะนำวิธีรักษาอาการคันช่องคลอด ถ้าอยากรู้แล้วไปดูกันเลย
สาเหตุของอาการคันในช่องคลอด
คันในช่องคลอด เกิดขึ้นด้วยกันหลายสาเหตุ โดยจะจำแนกสาเหตุจาก 2 ปัจจัยหลักๆ คือ ปัญหาสุขภาพ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยมีสาระดังต่อไปนี้
1.พฤติกรรมการใช้ชีวิต
- โกนขนตรงบริเวณจุดซ่อนเร้น : การโขนขุนตรงบริเวณจุดซ่อนเร้น ส่งผลให้เกิดอาการคันในช่องคลอด ปัญหานี้มักพบบ่อย เมื่อขนงอกขึ้นมาใหม่สั้นเป็นตอ จึงทำให้เกิดการคัน บางคนมีอาการคันอย่างรุนแรง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ แนะนำให้ใช้การแวกซ์ขนหรือเล็มขนแทนการโกน
- ใช้สารเคมี : ผู้หญิงบางคนมีอาการแพ้สารเคมี จากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น จนก่อให้เกิดอาการแพ้หรือเกิดอาการคันจนและระคายเคืองขึ้น
- กิจกรรมต่างๆ : กิจกรรมบางอย่าง ส่งผลให้เกิดอาการคันบริเวณช่องคลอด หรือจุดซ่อนเร้นได้ เช่น ปั่นจักรยาน ขี่ม้า หรือแม้แต่การสวมใส่กางเกงในที่รัดแน่นจนเกินไป เป็นต้น
- ความเครียด : แม้ว่าสาเหตุนี้ อาจเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน ความเครียดทำให้เกิดอาการคันบริเวณช่องคลอดได้ เมื่อเครียดระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะอ่อนแอลง จึงเป็นสาเหตุของการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
2.ปัญหาสุขภาพ
- โรคผิวหนัง : โรคผิวหนังบางชนิด อาจส่งผลให้เกิดการคันหรือระคายเคืองบริเวณช่องคลอด เช่น โรคภูมิแพ้ โรคสะเก็ดเงิน เป็นต้น ที่ส่งผลให้มีอาการคันตามร่างกาย โดยเฉพาะคันในที่ลับ จุดซ่อนเร้น หรือคันตามข้อพับต่างๆ
- โรคเชื้อรา : โรคเชื้อรามักพบได้บ่อยในเพศหญิง เมื่อเชื้อราในช่องคลอดเพิ่มจำนวนขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการคัน หรือระคายเคือง และอาจมีอาการตกขาวเป็นก้อนไหลออกมาจากช่องคลอดด้วย
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ : โรคนี้มักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ได้ป้องกัน เช่น ติดเชื้อทริโคโมแนส หนองในแท้ หนองในเทียม เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้เกิดอาการคันในช่องคลอด โดยอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ตกขาวมีสีเหลือง หรือสีเขียว ปวดแสบขณะปัสสาวะ เป็นต้น
- โรคมะเร็งปากช่องคลอด : โรคมะเร็งช่องคลอด โรคนี้พบได้ในเพศหญิง บางรายอาจไม่เกิดอาการใดๆ แต่บางรายอาจมีอาการคันช่องคลอด มีเลือดออก หรือรู้สึกเจ็บบริเวณช่องคลอด ซึ่งหากตรวจพบแต่เนิ่นๆ ก็สามารถรักษาให้หายได้
- วัยทอง : ผู้หญิงวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง ซึ่งฮอร์โมนนี้ทำหน้าที่เคลือบช่องคลอด เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนแห้งหรือลดลง จึงส่งผลให้บริเวณช่องคลอดแห้ง จนก่อให้เกิดอาการคันบริเวณช่องคลอด นั่นเอง
วิธีป้องกันและรักษาอาการคันช่องคลอด
เมื่อได้รู้สาเหตุของอาการคันในช่องคลอดไปแล้ว ต่อไปจะขอพูดถึงการรักษา ในส่วนการรักษานั้นจะเน้นที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แล้วหันมาดูแลเอาใจใส่สุขอนามัยตนเองให้ดีขึ้น โดยมีดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ หรือควรสวมใส่ถุงยางอนามัย ตลอดจนใช้เจลหล่อลื่นในกรณีที่ช่องคลอดแห้ง
- ห้ามแกะ หรือเกาบริเวณช่องคลอด เพราะอาจส่งผลทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่รุนแรงและการติดเชื้อได้
- หลังอุจาระควรเช็คทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลังเท่านั้น
- สวมใส่กางเกงในที่ระบายอากาศได้ดี ทำจากผ้าฝ้ายหรือเส้นใยธรรมชาติ เพื่อป้องกันกลิ่นอับชื้น การสะสมของเหงื่อ เชื้อโรคและแบคทีเรีย
- รับประทานอาหารที่มีจุลินทรีย์ เช่น นมเปรี้ยว หรือโยเกิร์ต เพื่อลดโอกาสการเกิดเชื้อราในช่องคลอด
- หากเสื้อเปียกชื้น หลังจากทำกิจกรรมว่ายน้ำ หรือออกกำลังกาย จะต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
- ล้างจุดซ่อนเร้นด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นที่มีความอ่อนโยนต่อผิว เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือ แต่ไม่ควรล้างมากกว่า 1 ครั้งต่อวัน เพราะอาจส่งผลให้เกิดช่องคลอดแห้งได้
- ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นบางประเภท ที่ไม่เหมาะสม เช่น สเปรย์ หรืออุปกรณ์สวนล้างช่องคลอด เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นหรือโฟมอาบน้ำ ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม รวมทั้งผ้าอนามัย สบู่ และกระดาษชำระด้วย
ทั้งหมดนี้ คือ วิธีรักษาอาการคันช่องคลอด โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้หญิงทุกคน หรือคนที่กำลังศึกษาเรื่องนี้ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ จนนำไปสู่วิธีการป้องกันและรักษาอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม หากพบว่าอาการคันในช่องคลอดยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการคันในช่องคลอดที่รุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์โดยทันทีทันใด เช่น มีแผลบริเวณช่องคลอด การปัสสาวะมีปัญหา มีอาการตกขาวผิดปกติ รู้สึกเจ็บตรงช่องคลอด รู้สึกไม่สบายตัวเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น หากพบอาการเหล่านี้แล้วรักษาด้วยตนเองไม่หาย อาการไม่ดีขึ้น ไม่ควรชะล่าใจเด็ดขาด ต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว ผู้หญิงหลายคนมักเขินอายกับเรื่องแบบนี้ ซึ่งปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายเพราะหากปล่อยเอาไว้นาน อาจไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพนัก