Archive for year: 2019

หน้าเป็นฝ้า เกิดจากอะไร แล้วเราจะป้องกัน ไม่เกิดขึ้นกับตัวเราได้อย่างไร

ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่สร้างความรำคาญใจให้กับสาวๆเราได้มาก เพราะมันทำให้ผิวหน้าดูด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ จะโชว์หน้าสดก็รู้สึกไม่มั่นใจ ต้องคอยโบกเมคอัพทับอยู่ตลอดเวลา พอแต่งหน้าบ่อยก็เจอปัญหาผิวพรรณอื่นๆตามมาอีก แต่ทุกปัญหาย่อมมีสาเหตุ หน้าเป็นฝ้า ก็เช่นกัน แต่จะดีกว่าหรือเปล่าหากเราป้องกันที่ต้นเหตุแทนที่จะมาคอยตามรักษากันทีหลัง ดังนั้นมาดูกันดีกว่าว่าเราสามารถป้องกันการเกิดฝ้าได้อย่างไรบ้าง

ฝ้า มีสาเหตุหลักมาจากกรรมพันธุ์และอายุ ยิ่งฮอร์โมนแปรปรวนมากเท่าไร ฝ้ายิ่งเกิดขึ้นได้ง่าย ยิ่งอายุมากขึ้นฝ้ายิ่งเกิดเยอะขึ้นเช่นกัน ดังนั้นจึงสังเกตได้ว่าใครที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ สตรีตั้งครรภ์ ผู้ที่ทานยาคุมกำเนิด มักจะเป็นฝ้าได้ง่าย แต่ถ้าไม่มีปัจจัยข้างต้นที่กล่าวมาก ก็สามารถเริ่มเป็นฝ้าได้ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป แต่นอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้วยังมีสาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้หน้าเป็นฝ้าได้คือ แสงแดด นั่นเอง ซึ่งแสงแดดนี้กระตุ้นให้คนเราเป็นฝ้าได้ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กเล็กๆไปจนถึงวัยชราเลย ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าแสงแดดจะไปกระตุ้นให้ผิวหนังผลิตเซลล์เม็ดสีมากขึ้น ฝ้าจึงเกิดมากขึ้น หนาและเข้มขึ้นด้วย ส่วนใครที่แต่งหน้าบ่อยๆก็ต้องระวังเช่นเดียวกัน เพราะว่าถ้าใช้เครื่องสำอางที่ไม่อ่อนโยนก็ทำให้เป็นฝ้าได้ จากสาเหตุทั้งหมดที่กล่าวไปจึงทำให้ผู้หญิงมีอัตราการเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชายถึง 70% เลยทีเดียว

 

ชนิดของฝ้า

ฝ้าแบ่งได้ 2 ประเภทคือ

• ฝ้าตื้น (Superficial type) สีน้ำตาลค่อนข้างเข้ม เห็นขอบฝ้าได้ชัดเจน ขึ้นไว หายเร็ว สามารถรักษาให้หายได้โดยการใช้ยาทายาและครีมกันแดด
• ฝ้าลึก (Deep type) สีน้ำตาลอ่อนอมม่วงหรือน้ำเงิน ขอบไม่ชัด รักษาให้หายขาดให้ยาก แต่ทำให้ดีขึ้นได้โดยการทายารักษาฝ้ากับครีมกันแดดเช่นเดียวกัน

การป้องกันไม่ให้เป็นฝ้า

ฝ้าบางชนิด เป็นปัญหาผิวพรรณที่รักษาได้ยาก ใช้เวลานาน หากใช้เทคโนโลยีมาการแพทย์มารักษาก็อาจจะเสียเงินมากมายกว่าจะดีขึ้น ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นเรื่องที่ง่ายและดีกว่ามามาคอยตามรักษาทีหลัง สำหรับวิธีป้องกันการเกิดฝ้าทำได้ไม่ยากคือ

1.ทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากแสงแดด พยายามอย่าตากแดดจัดๆเป็นเวลานาน ถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้สวมหมวก แว่นตาหรือกางร่มด้วย เพื่อลดโอกาสผิวถูกทำร้ายจากแสงแดด ส่วนฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมนนั่นหลีกเลี่ยงได้ค่อนข้างยาก ฝ้าฮอร์โมนบางชนิดหายเองได้ก็มี เช่น ฝ้าจากการตั้งครรภ์ เมื่อคลอดแล้วฮอร์โมนกลับมาเป็นปกติ ฝ้าจะค่อยๆจางลงไปเอง เป็นต้น

2.หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เม็ดสีผิวถูกผลิตมากขึ้น เช่น ความเครียด การดื่มเหล้า การสูบบุหรี่ เป็นต้น เพราะปัจจัยเหล่านี้จะกระตุ้นให้เม็ดสีเมลามินผลิตมากขึ้น จนหน้าเป็นฝ้าได้

3.ดูแลตัวเอง ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอพักผ่อนให้เพียงพอ การดูแลตัวเองจะช่วยให้สุขภาพร่างกายตัวเองแข็งแรงภายในสู่ภายนอก ผิวพรรณก็จะแข็งแรงขึ้นด้วย ทำให้เป็นฝ้าได้ยากมากขึ้น

ถึงแม้ปัจจัยในการเกิดฝ้าบางอย่างนั้นไม่สามารถควบคุมได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่สามารถป้องกันได้เลย ดังนั้นพยายามดูแลผิวให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยฝ้าก็เกิดได้ยากมากขึ้นหรือหน้าเป็นฝ้าก็จะไม่รุนแรงนัก สามารถรักษาได้ง่ายกว่าค่ะ

หน้าใสทําไง คำตอบคือหน้าขาวใสได้ ด้วยสมุนไพรธรรมชาติ

ใครก็อยากมีผิวหน้าสวยใสกันทั้งนั้นแน่นอน การจะดูแลผิวให้ใสนั้นทำได้ไม่ยาก เพราะปัจจุบันนี้ก็มีทั้งสกินแคร์และนวัตกรรมทางการแพทย์ออกมามากมายให้เลือกทำสวยกัน แต่ว่าสกินแคร์หน้าใสนั้นก็มีเยอะจนเลือกไม่ถูก แถมจะดีต่อผิวเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะเลือกแบรนด์ที่น่าเชื่อถือก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงลิบ หรือจะให้ไปนวดหน้าขัดหน้าที่คลินิคเสริมความงามบ่อยๆก็ไม่ไหว นอกจะเหนื่อยแล้วยังทำให้ทรัพย์จางได้ด้วย เพราะฉะนั้นลองมาดูทางเลือกดีๆจากธรรมชาติใกล้ตัวกันดีกว่า สำหรับใครที่อยากรู้ว่า หน้าใสทําไง แต่ไม่อยากจ่ายแพง วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆมากฝากค่ะ

มะเขือเทศ สุดยอดราชินีแห่งการบำรุงผิว เพราะมะเขือเทศอุดมไปด้วยไลโคปีน วิตามินซีและสารธรรมชาติอื่นๆอีกมากมาย ช่วยบำรุงผิวได้ทั้งจากภายในและภายนอกเลย สำหรับวิธีการก็แค่รับประทานมะเขือเทศบ่อยๆ จะได้รับวิตามินและแร่ธาตุไปแบบเต็มๆ แล้วก็อย่าลืมพอกหน้าด้วยมะเขือเทศเป็นประจำ จะใช้วิธีหั่นแว่นหรือนำไปปั่นละเอียดแล้วมาพอกก็ได้ พอกทิ้งไว้สัก 30 นาทีแล้วค่อยล้างออก มะเขือเทศจะช่วยให้ผิวหน้านุ่มเนียน สดใส แลดูอมชมพูสุขภาพดี นอกจากนี้ยังช่วยให้รูขุมขนเล็กละเอียดมากขึ้น ลดการเกิดสิวอุดตันได้อีกด้วย หน้าใสทําไงวิธีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคำตอบ

น้ำผึ้ง น้ำผึ้งเป็นเหมือนของขวัญด้านความงามที่ธรรมชาติมอบให้ เพราะว่าอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ วิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิด น้ำผึ้งมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ จึงมีส่วนช่วยในการรักษาสิวได้ด้วย จึงเป็นคำตอบที่ดีงามมากเลยสำหรับคนที่อยากรู้ว่าหน้าใสทําไง วิธีการใช้น้ำผึ้งคือ นำมาทาบนใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วค่อยล้างออก แต่ตอนล้างต้องล้างให้สะอาดหมดจด เพราะหากยังมีน้ำตาลจากน้ำผึ้งหลงเหลืออยู่ อันนี้อาจเป็นอาหารของแบคทีเรียบนหน้าแทนได้ นอกจากเรื่องสิวแล้ว น้ำผึ้งยังช่วยปลอบประโลมผิว ช่วยให้ผิวกลับมาเนียนนุ่มชุ่มชื่นขึ้น ดูกระจ่างใสและอ่อนเยาว์ อย่างไรก็ตามต้องมั่นใจว่าน้ำผึ้งที่ใช้เป็นน้ำผึ้งแท้เท่านั้นนะ

มะขามเปียก เป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติที่ถูกใช้ในด้านความสวยความงามมานานมากๆ นิยมนำมาใช้ขัดทั้งผิวหน้าและผิวกาย สำหรับผิวหน้าอาจต้องผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เพราะจะช่วยลดความระคายเคืองลงได้ นำมาพอกหน้าทิ้งไว้สัก 3-5 นาทีก็พอแล้วล้างออกให้สะอาด มะขามมีวิตามินซีสูงและยังมีกรดเอเอชเอจากธรรมชาติช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นการเกิดผิวใหม่ ช่วยให้ผิวกลับมาขาวกระจ่างใสขึ้นกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติ แต่ว่าก็ควรเลือกซื้อจากแหล่งที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือได้ จะได้ไม่เกิดอันตรายกับผิวหน้าเรา และสำหรับคำถามว่าอยากหน้าใสทําไงดี หวังว่าจะได้รับคำตอบกันแล้วนะคะ สุดท้ายนี้นอกจากขัดพอกผิวหน้าแล้ว อยากให้ดูแลในเรื่องอื่นๆควบคู่ไปด้วย เช่น ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายบ่อยๆ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าลืมทาสกินแคร์อย่างสม่ำเสมอ ผิวใสๆจะได้อยู่กับเราไปนานๆค่ะ

กันแดดสําหรับคนเป็นสิว ก่อนที่จะเลือกซื้อต้องดูปัจจัยอะไรบ้าง

ทุกวันนี้แสงแดดกลายเป็นศัตรูอันดับหนึ่งที่สาวๆ ควรเลี่ยงอย่างเด็ดขาด เพราะเพียงแค่นาทีเดียว ก็ทำให้ผิวคล้ำเสียและไหม้ได้ ดังนั้นครีมกันแดดจึงเป็นตัวช่วยหลักที่จะขาดไม่ได้เลย แต่ก็ต้องเลือกให้เหมาะกับตัวเองด้วย เช่น คนเป็นสิวก็ต้องเลือก กันแดดสําหรับคนเป็นสิว นั่นเอง โดยวันนี้เราก็มี 5 ข้อที่คุณควรรู้ ก่อนจะทาครีมกันแดดมาบอกกันดังนี้

 

1.ใช้ครีมกันแดดให้ถูกประเภท

ครีมกันแดดจะมีประเภทสำหรับทาผิวกาย และผิวหน้า โดยคุณจะต้องใช้ให้ถูกต้อง ห้ามนำครีมกันแดดสำหรับทาผิวกายมาใช้กับใบหน้าเด็ดขาด เนื่องจากส่วนผสมในเนื้อครีมจะมีความเข้มข้นกว่า และไม่เหมาะกับผิวหน้าที่บอบบาง จึงอาจส่งผลให้ผิวเกิดการแพ้ได้นั่นเอง

2.ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว

สภาพผิวของคนเราก็เป็นสิ่งสำคัญในการพิจารณาเลือกใช้ครีมกันแดด โดยคนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย ก็ต้องเลือกครีมกันแดดสูตรอ่อนโยน หรือคนที่เป็นสิว ก็จะเหมาะกับ กันแดดสําหรับคนเป็นสิว ดังนั้นก่อนจะซื้อ ก็ลองอ่านดูที่ฉลากผลิตภัณฑ์ดูก่อน ว่าเหมาะกับสภาพผิวแบบไหน จะได้ไม่มีปัญหาตามมาในภายหลัง

3.ต้องทาครีมกันแดดก่อนออกกลางแจ้ง

การทาครีมกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง มักจะได้ผลไม่ค่อยดีมากนัก เพราะกว่าครีมกันแดดจะออกฤทธิ์ได้ดีก็ต้องใช้เวลาประมาณ 30 นาที ดังนั้นควรทาก่อนจะออกนอกบ้านหรือออกกลางแจ้งจะดีกว่า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น และสามารถปกป้องผิวของคุณจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญควรเลือกค่า SPF ที่เหมาะสมด้วย

4.อย่าละเลยหน้าฝน

หน้าฝน หลายคนอาจคิดว่าแดดไม่ค่อยมีคงไม่จำเป็นต้องทาครีมกันแดด แต่ความจริงแล้วแสงแดดมีอยู่ตลอดเวลาและพร้อมจะทำลายผิวของเราเสมอ ดังนั้นแม้จะเป็นช่วงหน้าฝนก็ไม่ควรละเลยการทาครีมกันแดดเด็ดขาด

5.ทาให้ทั่วผิวแม้ในร่มผ้า

การทาครีมกันแดดที่ผิวกาย ควรทาให้ทั่วร่างกายแม้บริเวณที่อยู่ในร่มผ้า เพราะแสงแดดสามารถลอดผ่านเสื้อผ้าเข้าไปทำร้ายผิวของเราได้เสมอ ซึ่งใครที่มักจะทาเฉพาะบริเวณแขนขาที่อยู่นอกร่มผ้าเป็นประจำ ควรเปลี่ยนมาทาให้ทั่วผิวกายโดยด่วน

และนี่ก็คือ 5 ข้อที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการทาครีมกันแดดนั่นเอง ซึ่งเมื่อรู้ดังนี้แล้วก็ลองนำไปปรับใช้จริงกันดู และอย่าลืมเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับผิวของตน โดยเฉพาะกันแดดสําหรับคนเป็นสิว เพราะหากเลือกผิดอาจส่งผลให้สิวเห่อขึ้นมากกว่าเดิมได้เลยทีเดียว

ครีมบํารุงหน้าที่ดีที่สุด ถ้าใช้ให้ถูกวิธีรับรอง ปังแน่นอน

สำหรับสาวๆ เรื่องความสวยความงาม ถือเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะการบำรุงผิวพรรณให้สวยใส มีสุขภาพผิวที่ดีอยู่เสมอ โดยวันนี้เราก็มี 5 ขั้นตอนการบำรุงผิวก่อนนอนด้วย ครีมบํารุงหน้าที่ดีที่สุด มาแนะนำกันด้วย รับรองว่าทำแล้วเห็นผลจริง

1.เช็ดเครื่องสำอางด้วยคลีนซิ่ง

สาวๆ ที่แต่งหน้าจะต้องเริ่มต้นด้วยขั้นตอนนี้ก่อน นั่นคือการเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางให้หมดจดนั่นเอง โดยแนะนำให้ใช้คลีนซิ่งสูตรอ่อนโยนต่อผิว ค่อยๆ เช็ดจนมั่นใจ ว่าเครื่องสำอางถูกเช็ดออกไปจนหมดแล้ว จากนั้นจึงทำตามขั้นตอนต่อไปได้เลย

 

2.เตรียมผิวด้วยการมาส์กหน้า

การมาส์กหน้าจะช่วยเตรียมผิวให้กับคุณได้ดี เพราะจะดูดซับสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนออกไป และกำจัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออก อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการบำรุงฟื้นฟูสภาพผิวอีกด้วย ทั้งนี้คุณอาจซื้อครีมมาส์กมาใช้ หรือจะมาส์กหน้าด้วยสูตรธรรมชาติก็ได้

 

3.ทาเอสเซนต์

การทาเอสเซนต์จะช่วยบำรุงผิวได้ดี และทำให้การบำรุงผิวด้วยครีมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยแนะนำให้เลือกเอสเซนต์แบบน้ำ เพราะซึมซับเข้าสู่ผิวได้เร็ว และหากเป็นสูตรเพื่อผิวขาวกระจ่างใสด้วยก็จะดีมาก

 

4.บำรุงผิวรอบดวงตาด้วยอายครีม

ก่อนจะทาครีมบํารุงหน้าที่ดีที่สุด อีกหนึ่งขั้นตอนที่จะขาดไม่ได้เลย ก็คือการทาอายครีมนั่นเอง เพราะอายครีมจะบำรุงผิวบริเวณรอบดวงตา ลดความหมองคล้ำ และชะลอการเกิดริ้วรอยหรือรอยตีนกาได้อย่างดีเยี่ยม แต่จะต้องเลือกอายครีมที่มีความอ่อนโยนต่อผิวด้วย เพราะผิวบริเวณรอบดวงตามีความบอบบางมากที่สุด จึงอาจเกิดการแพ้ได้ง่ายนั่นเอง

 

5.ทาครีมบำรุงผิว

และก็มาถึงขั้นตอนสำคัญ นั่นก็คือการทาครีมบำรุงผิวนั่นเอง ซึ่งคุณจะต้องเลือกครีมที่เหมาะกับผิวของตัวเอง มีคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการ เช่น เพิ่มความขาวกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย ลดการเกิดสิว ฟื้นฟูสภาพผิว เป็นต้น ที่สำคัญในเนื้อครีมควรมีมอยเจอไรเซอร์เป็นส่วนประกอบหลัก เพื่อบำรุงผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื้น และมีสุขภาพผิวที่ดีอยู่เสมอ

เพียง 5 ขั้นตอนนี้ ก็จะทำให้คุณมีผิวสวยใสดั่งใจ ตื่นมาพร้อมกับผิวสวยปิ๊ง หน้าไม่โทรมแล้วล่ะ แต่ก็อย่าลืมเลือกครีมบํารุงหน้าที่ดีที่สุด และทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่องด้วย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและรวดเร็วทันใจนั่นเอง นอกจากนี้สำหรับสาวๆ คนไหนที่มีปัญหาสิว ก็แนะนำให้ใช้ยาแต้มสิวหลังจากทาครีมทุกครั้ง และควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงทานผักผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อผิวด้วย

ครีมรองพื้นยี่ห้อไหนดี ที่มาซึ่งใบหน้าที่สวยเป๊ะ เนียนน่าสัมผัส

หลายๆคนมักจะพบปัญหาในการเลือกซื้อครีมรองพื้น ว่าจะซื้อ ครีมรองพื้นยี่ห้อไหนดี ด้วยความที่ตอนนี้มีหลากหลายแบรนด์มาก ไม่ว่าจะเป็นตามร้านเครื่องสำอางทั่วไป ตามเคาเตอร์แบรนด์ที่พบเห็นได้บ่อยๆ และรวมถึงการซื้อเครื่องสำอางในโลกออนไลน์เองก็มีมาให้เลือกซื้อเลือกใช้มากมายเช่นกัน ต่างก็ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สะดุดตา น่าใช้ มาพร้อมกับคุณสมบัติที่จัดเต็มและอัดแน่นไปด้วยคุณภาพ ทำให้หลายๆคนเกิดคำถามและตัวเลือกขึ้นในใจ ว่าแบบไหนจะดีและเหมาะกับตน

ก่อนจะมาหากันว่าครีมรองพื้นยี่ห้อไหนดีที่จะเหมาะกับตน มาทำความรู้จักรูปแบบและชนิดของรองพื้นกันก่อนโดยสามารถแบ่งตามลักษณะเนื้อรองพื้นได้ ดังนี้

1. รองพื้นแบบน้ำ หรือที่เราเรียกกันว่า Liquid foundation รองพื้นชนิดนี้จะมีลักษณะเนื้อเหลว ข้น ส่วนใหญ่มาในรูปแบบของขวดแก้ว เมื่อเทเนื้อรองพื้นออกมาจะเหลว ไม่เกาะตัวเป็นก้อน เมื่อทารองพื้นลงบนผิวหน้า จะเกลี่ยได้ง่ายมาก ทำให้ใบหน้าหลังการลงรองพื้นเรียบเนียน ธรรมชาติก่อนการลงเครื่องสำอางตัวอื่นๆ
2. รองพื้นแบบเนื้อครีม รองพื้นแบบนี้จะมีลักษณะเนื้อรองพื้นแบบไม่เหลวมาก ส่วนใหญ่มาในรูปแบบขวดหัวปั๊มเพื่อง่ายต่อการกะปริมาณในการใช้งาน เมื่อบีบออกมามักจะแห้งเร็ว ดังนั้นระหว่างการแต่งหน้า ควรใช้ทีละน้อย เพื่อให้ทันในการเกลี่ยรองพื้น โดยรองพื้นแบบนี้จะเหมาะกับคนที่มี ผิวแห้ง ด้วยความที่มีส่วนผสมของแวกส์ จะทำให้หน้าไม่แมทต์แห้งจนเกินไป
3. รองพื้นแบบเนื้อมูส รองพื้นแบบนี้จะมีลักษณะเป็นเนื้อนุ่มๆ ฟูๆ คล้ายมูสเข้มข้น เมื่อใช้แล้ววสามารถเกลี่ยได้ง่ายทำให้มีใบหน้าที่เรียบเนียน กลืนไปกับผิวเดิม มักจะมาในรูปแบบของตลับเพื่อความสะดวกในการพกพา จะเหมาะกับผิวแห้งและผิวธรรมดา สามารถหาซื้อได้ตามร้านเครื่องสำอางทั่วไป
4. รองพื้นแบบเนื้อแป้ง คือรองพื้นที่มาในรูปแบบของแป้งอัดแข็งที่เราๆรู้จักกันดีและซื้อใช้กันบ่อยๆ เพราะด้วยความที่ทำให้ประหยัดเวลาในการแต่งหน้าขึ้นไปอีก เพียงตบๆแป้งลงบนใบหน้า เพียงเท่านี้ก็ได้ทั้งการทารองพื้นและทาแป้งไปในตัว ที่สำคัญใช้ได้กับทุกสภาพผิว

เท่านี้ก็ช่วยในการตัดสินใจในการเลือกซื้อครีมรองพื้นยี่ห้อไหนดีได้แล้ว ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยในเรื่องการปกปิดที่เหมือนกัน แต่บางผลิตภัณฑ์อาจต่างออกไปคือ มีการใส่สารกันแดด และ สารบำรุงผิวหน้าเข้ามา

ทางแบรนด์ Jellys เองก็มีรองพื้นดีๆมาแนะนำ เพื่อตอบโจทย์ของสาวๆ นั่นก็คือ เพียวเฟสซันสกรีนครีม UVA/UVB SPF 50 PA+++  มาในรูปแบบของกันแดดผสมรองพื้นแบบ 3 in 1  มาในรูปแบบกระปุกพกพาง่าย มีเนื้อครีมที่บางเบา สามารถซึมลงสู่ชั่นผิวได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ทิ้งคราบเหนียวเหนอะหนะไว้บนใบหน้า ทำให้ไม่อุดตันรูขุมขน ช่วยควบคุมความันได้ถึง 12 ชั่วโมง ที่สำคัญให้ค่ากันแดดที่เยอะมาก ด้วยค่าSPF 50 P+++ จึงมั่นใจได้ว่าเมื่อออกแดดแล้ว หน้าจะไม่ดรอป หมองคล้ำแน่นอน พร้อมทั้งยังช่วยบำรุงให้ผิวค่อยๆกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ อ่อนโยน ไม่แพ้ด้วยส่วนผสมที่สกัดมาจากธรรมชาติ แม้ผิวบอบบางก็ใช้ได้ โดยสามารถสั่งซื้อได้แล้วกับทางตัวแทนจำหน่ายโดยตรง อีกช่องทางหนึ่งที่ jellysthailand

การจะหาครีมรองพื้นยี่ห้อไหนดีที่จะเหมาะกับตนเอง ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ทำความเข้าใจ และรู้จักรูปแบบและชนิดของรองพื้น เท่านี้ก็สามารถเลือกซื้อได้อย่างถูกต้องและเหมาะกับสภาพผิวได้แล้ว